เกี่ยวกับบทความ

ผู้เขียน :

Abd Al Aziz bin Abd Allah bin Baz

วันที่ :

Thu, Sep 01 2016

ประเภท :

Fatwa (Q&A)

หุก่มการจัดงานฉลองคืนอิสรออ์มิอฺรอจญ์


หุก่มการจัดงานฉลองคืนอิสรออ์มิอฺรอจญ์

حكم الاحتفال بليلة الإسراء والمعراج

< تايلاندية >

        
อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ

عبد العزيز بن عبد الله بن باز

 

 




 
ผู้แปล: อัฟนาน เพ็ชรทองคำ
ผู้ตรวจทาน: อัสรัน นิยมเดชา
 
ترجمة: أفنان فيتونكام
مراجعة: عصران  نيومديشا

หุก่มการจัดงานฉลองคืนอิสรออ์มิอฺรอจญ์

        

มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮฺ การประสาทพร ความสันติทั้งหลายโปรดมีแด่ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตลอดจนวงศ์วาน และมิตรสหายของท่าน
ไม่เป็นที่สงสัยว่า ‘อัลอิสรออ์ และ อัลมิอ์รอจญ์’ เป็นสัญญาณหนึ่งของอัลลอฮฺ ที่แสดงให้เห็นถึงการเป็นศาสนทูตที่แท้จริงและตำแหน่งอันยิ่งใหญ่ของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ณ อัลลอฮฺ และยังเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงความปรีชาญาณและความสูงส่งของอัลลอฮฺเหนือสรรพสิ่ง พระองค์ตรัสว่า
﴿ سُبۡحَٰنَ ٱلَّذِيٓ أَسۡرَىٰ بِعَبۡدِهِۦ لَيۡلٗا مِّنَ ٱلۡمَسۡجِدِ ٱلۡحَرَامِ إِلَى ٱلۡمَسۡجِدِ ٱلۡأَقۡصَا ٱلَّذِي بَٰرَكۡنَا حَوۡلَهُۥ لِنُرِيَهُۥ مِنۡ ءَايَٰتِنَآۚ إِنَّهُۥ هُوَ ٱلسَّمِيعُ ٱلۡبَصِيرُ ١ ﴾ [الإسراء: ١]  
ความว่า “มหาบริสุทธิ์ผู้ทรงนำบ่าวของพระองค์เดินทางในเวลากลางคืน จากมัสยิดอัลหะรอมไปยังมัสยิดอัลอักศอซึ่งเราได้ให้ความจำเริญในบริเวณรอบมัน เพื่อเราจะให้เขาเห็นบางอย่างจากสัญญาณต่าง ๆ ของเรา แท้จริง พระองค์คือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น” (อัลอิสรออ์: 1)

มีรายงานอย่างต่อเนื่องเชื่อถือได้ว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮได้ขึ้นไปบนฟากฟ้า แล้วประตูชั้นฟ้าทุกบานก็เปิดต้อนรับท่าน จนกระทั่งถึงฟ้าชั้นที่เจ็ด แล้วพระเจ้าของท่านก็ดำรัสกับท่านตามที่พระองค์ทรงประสงค์ จากนั้นทรงบัญญัติละหมาดห้าเวลา โดยแต่เดิมนั้นอัลลอฮฺทรงกำหนดให้ละหมาดห้าสิบเวลา แต่ท่านนบีของเรา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กลับไปหาพระองค์หลายครั้ง เพื่อขอให้พระองค์ทรงลดหย่อนผ่อนปรนให้น้อยลง จนกระทั่งเหลือเพียงห้าเวลา แต่เป็นห้าเวลาที่มีผลบุญเท่ากับห้าสิบเวลา เพราะหนึ่งความดีจะได้รับผลบุญตอบแทนสิบเท่า การสรรเสริญและการขอบคุณจงมีแด่อัลลอฮฺสำหรับทุกความโปรดปรานของพระองค์
ทั้งนี้ ไม่มีหะดีษที่ถูกต้องระบุเจาะจงว่าเหตุการณ์ อัลอิสรออ์ และอัลมิอ์รอจญ์ นี้ เกิดขึ้นในค่ำคืนใดไม่ว่าจะเป็นเดือนเราะญับหรือเดือนอื่น ๆ โดยนักวิชาการหะดีษระบุว่ารายงานทุกบทที่เจาะจงค่ำคืนดังกล่าวล้วนไม่มีการยืนยันว่ามาจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งอัลลอฮฺย่อมทรงมีหิกมะฮฺที่ให้ผู้คนหลงลืมสิ่งนี้
และถึงแม้จะมีการยืนยันวันเวลาจริง ๆ ก็ไม่อนุญาตให้มุสลิมเจาะจงทำอิบาดะฮฺ หรือจัดงานเฉลิมฉลองใด ๆ ในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และสหายของท่านไม่เคยจัดงานใด ๆ และไม่ได้เจาะจงทำอิบาดะฮฺใด ๆ ทั้งนี้ หากว่าการจัดงานเฉพาะสำหรับวันดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นไปตามบทบัญญัติศาสนาแล้ว ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ย่อมต้องอธิบายให้ประชาชาติของท่านรับรู้ไว้ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ และหากว่าอย่างหนึ่งในสองสิ่งที่กล่าวข้างต้นได้เกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป และบรรดาเศาะหาบะฮฺก็ย่อมต้องรายงานสิ่งเหล่านั้นสืบทอดมาถึงเราอย่างแน่นอน เพราะพวกท่านรายงานทุกสิ่งอย่างจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่จำเป็นสำหรับประชาชาตินี้ ไม่มีเรื่องใดเกี่ยวกับศาสนาตกหล่นขาดหายเลยแม้แต่น้อย พวกท่านเป็นผู้ที่รีบเร่งแข่งขันกันทำความดี ดังนั้น หากว่าการจัดงานเฉลิมฉลองในคืนนี้เป็นบทบัญญัติจริง ๆ แล้ว พวกท่านก็ย่อมเป็นกลุ่มที่รีบเร่งปฏิบัติไปก่อนหน้าพวกเราแล้ว
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นผู้ตักเตือนผู้คนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ท่านเผยแผ่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเป็นผู้บรรลุความรับผิดชอบอย่างดีที่สุด หากว่าการจัดงานและการให้ความสำคัญกับคืนนี้เป็นเรื่องศาสนาของอัลลอฮฺ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ย่อมไม่เผอเรอหรือปิดบังเรื่องนี้ไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อไม่มีสิ่งที่กล่าวมาเกิดขึ้น เราจึงทราบว่าการจัดงานและให้ความสำคัญกับวันนี้มิได้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม เพราะอัลลอฮฺทรงให้ศาสนาสมบูรณ์แล้วแก่ประชาชาตินี้ และทรงทำให้ความโปรดปรานเต็มเปี่ยมแล้ว และไม่ทรงยอมรับผู้ที่บัญญัติสิ่งใหม่ในศาสนาซึ่งพระองค์ไม่ทรงอนุญาต อัลลอฮฺตรัสในสูเราะฮฺอัลมาอิดะฮฺว่า
﴿ ٱلۡيَوۡمَ أَكۡمَلۡتُ لَكُمۡ دِينَكُمۡ وَأَتۡمَمۡتُ عَلَيۡكُمۡ نِعۡمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلۡإِسۡلَٰمَ دِينٗاۚ ﴾ [المائ‍دة: ٣]
ความว่า “วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้วซึ่งศาสนาของพวกเจ้า และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า” (อัลมาอิดะฮฺ: 3)

และพระองค์ตรัสว่า
﴿ أَمۡ لَهُمۡ شُرَكَٰٓؤُاْ شَرَعُواْ لَهُم مِّنَ ٱلدِّينِ مَا لَمۡ يَأۡذَنۢ بِهِ ٱللَّهُۚ وَلَوۡلَا كَلِمَةُ ٱلۡفَصۡلِ لَقُضِيَ بَيۡنَهُمۡۗ وَإِنَّ ٱلظَّٰلِمِينَ لَهُمۡ عَذَابٌ أَلِيمٞ ٢١ ﴾ [الشورى: ٢١]  
ความว่า “หรือว่าพวกเขามีภาคีต่าง ๆ ที่ได้กำหนดศาสนาแก่พวกเขา ซึ่งอัลลอฮฺมิได้ทรงอนุมัติ และหากมิใช่ลิขิตแห่งการตัดสิน (ที่ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว) ก็คงมีการตัดสินในระหว่างพวกเขา แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้น สำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด” (อัชชูรอ: 21)

มีรายงานยืนยันจากท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ผ่านหะดีษจำนวนมากที่มีสายรายงานถูกต้องเตือนให้ออกห่างการทำบิดอะฮฺ (อุตริกรรม) และระบุอย่างชัดเจนว่าเป็น “การหลงผิด” ทั้งนี้ เพื่อสำทับเตือนประชาชาติของท่านให้ตระหนักถึงอันตรายของมัน และให้พวกเขาออกห่างจากการกระทำที่เป็นบิดอะฮฺหลงผิด ส่วนหนึ่งจากหะดีษเหล่านั้น คือรายงานที่บันทึกโดยอัลบุคอรีย์และมุสลิม จากท่านหญิงอาอิชะฮ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า
« مَنْ أَحْدَثَ فِي أَمْرِنَا هَذَا مَا لَيْسَ مِنْهُ فَهُوَ رَدٌّ » رواه البخاري ومسلم
ความว่า “ผู้ใดประดิษฐ์สิ่งใหม่ในกิจการงานของเรา (ในศาสนา) ซึ่งไม่ได้มาจากศาสนา ดังนั้นมันจะถูกปฏิเสธ” (บันทึกโดยอัลบุคอรีย์ และมุสลิม)

และจากบันทึกของมุสลิมว่า
« مَنْ عَمِلَ عَمَلاً لَيْسَ عَلَيْهِ أَمْرُنَا فَهُوَ رُدٌّ »
ความว่า “ผู้ใดทำงานใดงานหนึ่งที่ไม่ใช่กิจการงานของเรา ดังนั้นมันจะถูกปฏิเสธ”

และมีบันทึกในเศาะฮีหฺมุสลิม จากท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านเราะสูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวในคุตบะฮฺวันศุกร์ว่า
« أَمَّا بَعْدُ فَإِنَّ خَيْرَ الحَدِيْثِ كِتَابُ اللهِ وَخَيْرَ الهَدْيِ هَدْيُ مُحَمَّدٍ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ وَشَرَّ الأُمُوْرِ مُحْدَثَاتُهَا وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ » رواه مسلم
ความว่า “แท้จริงคำพูดที่ดีที่สุดคือ (คำพูดที่มาจาก) คัมภีร์ของอัลลอฮฺ และแนวทางที่ดีที่สุดคือแนวทางของมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ส่วนการงานที่ชั่วช้าที่สุดคือสิ่งที่ทำขึ้นมาใหม่ (ในศาสนา) และทุก ๆ บิดอะฮฺ (อุตริกรรม) นั้นเป็นการหลงผิด” (บันทึกโดยมุสลิม)

 ในบันทึกของอันนะสาอีย์ซึ่งเป็นสายรายงานที่ดีระบุเพิ่มว่า
« وَكُلَّ ضَلَالَةٍ فِي النَّارِ »
ความว่า “และทุก ๆ การหลงทางนั้นไปสู่นรก”

และมีบันทึกในสุนัน จากอัลอิรบาฎ บิน ซารียะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ได้กล่าวเตือนพวกเรา เป็นคำเตือนที่ลึกซึ้งมาก พวกเราจึงกล่าวว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ดูเสมือนว่ามันเป็นคำตักเตือนของผู้ที่กำลังจะจากลา ดังนั้น ท่านโปรดสั่งเสียพวกเราด้วยเถิด” ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า
« أُوْصِيْكُمْ بِتَقْوَى اللهِ وَالسَمْعِ وَالطَّاعَةِ وَإِنْ تَأَمَّرَ عَلَيْكُمْ عَبْدٌ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُم فَسَيَرَى اخْتِلَافاً كَثِيراً، فَعَلَيْكُمْ بِسُنَّتِي وَسُنَّةَ الخُلَفَاءِ الرَاشِدِيْنَ المَهْدِيِّيْنَ مِنْ بَعْدِي، تَمَسَّكُوْا بِهَا وَعَضُّوْا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ، وَإِيَّاكُم وَمُحْدَثَاتِ الأُمُوْرِ فَإِنَّ كُلَّ مُحْدَثَةٍ بِدْعَةٌ وَكُلَّ بِدْعَةٍ ضَلَالَةٌ »
ความว่า “ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮฺ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามแม้ว่าผู้นำของพวกท่านจะเป็นเพียงทาสก็ตาม เพราะแท้จริงผู้ที่มีชีวิตอยู่ต่อไปจะเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นจำเป็นที่พวกท่านต้องยึดมั่นในแนวทางของฉัน และแนวทางของบรรดาเคาะลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับการชี้นำสู่ความถูกต้องภายหลังจากฉัน พวกท่านจงยึดมันไว้และขบไว้ให้แน่นด้วยฟันกราม และพวกท่านพึงระวังสิ่งอุตริกรรมในศาสนา เพราะทุกการอุตริกรรมนั้นคือการหลงผิด”

ยังมีหะดีษที่มีความหมายในทำนองเดียวกันนี้อีกมากมาย และมีการยืนยันจากบรรดาสหายของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และกัลยาณชนหลังจากพวกท่าน ถึงการเตือนให้ออกห่างและขู่สำทับมิให้กระทำอุตริกรรม เพราะว่าสิ่งนี้เป็นการประดิษฐ์เพิ่มเติมในศาสนา และบัญญัติสิ่งที่อัลลอฮฺมิได้ทรงอนุญาต เป็นการเลียนแบบชาวยิวและชาวคริสต์ที่ได้ประดิษฐ์เพิ่มเติมในศาสนา และการอุตริของพวกเขาในสิ่งที่อัลลอฮฺมิได้ทรงอนุญาต นอกจากนี้ยังเสมือนเป็นการกล่าวหาว่าศาสนาอิสลามนั้นมีความบกพร่องและยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าสิ่งนี้เป็นความเสียหายอันยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ทั้งยังขัดกับที่อัลลอฮฺตรัสว่า
« الْيَوْمَ أَكْمَلْتُ لَكُمْ دِينَكُمْ » المائدة: 3
ความว่า “วันนี้เราทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์แล้ว”
 
และยังเป็นการขัดแย้งอย่างชัดเจนกับคำพูดของท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่กล่าวให้ระวังและหลีกห่างการอุตริกรรม
ฉันหวังว่าหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นจะเพียงพอที่จะทำให้ผู้แสวงหาความจริงปฏิเสธและหลีกห่างอุตริกรรมนี้ ฉันหมายถึงอุตริกรรมในการจัดงานเฉลิมฉลองคืนอัลอิสรออ์และอัลมิอฺรอจญ์ และเพียงพอที่จะยืนยันว่ามันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลามแต่อย่างใด
และเมื่ออัลลอฮฺทรงบัญญัติให้การตักเตือนมุสลิมและการอธิบายบทบัญญัติของพระองค์ เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาที่มีความจำเป็น และยังทรงห้ามมิให้ปกปิดความรู้ ฉันจึงเห็นว่าจำเป็นต้องเตือนพี่น้องมุสลิมของฉันให้ออกห่างอุตริกรรมนี้ที่แพร่หลายในหลาย ๆ ที่ กระทั่งบางคนคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา
ขออัลลอฮฺโปรดปรับปรุงสภาพของมุสลิมทั้งหมด และโปรดมอบความเข้าใจในศาสนาแก่พวกเขา และโปรดให้พวกเราและพวกเขาประสบความสำเร็จในการยึดมั่นและยืนหยัดในสิ่งที่เป็นสัจธรรม และสามารถละทิ้งสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสัจธรรมความถูกต้องได้ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงดูแลสิ่งดังกล่าวและทรงอำนาจเหนือทุกสิ่ง
การประสาทพร ความศานติ ความจำเริญจากอัลลอฮฺ จงมีแด่บ่าวและศาสนทูตของพระองค์ผู้เป็นนบีของเรา ตลอดจนวงศ์วานและมิตรสหายของท่านด้วยเถิด